ผู้เขียน : นพรุจ ธรรมจิโรจ
สภาะการทำธุรกิจในปัจจุบันลำบากมาก ทุกคนต่างยอมรับ ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกมีเงื่อนไขมากขึ้น ปัจจัยภายนอกไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Geopolitics, Trade war, China’s product over flow ส่วนปัจจัยภายในได้แก่ ต้นทุน ประสิทธิภาพการผลิตหรือการบริการ วัตถุดิบ ของเสีย เทคโนโลยี ทักษะของคน และอื่นๆอีกมากมายที่เราต้องจัดการ ทุกธุรกิจต่างเอาตัวรอดแค่ผ่านไปแต่ละไตรมาสก็ลำบากแล้ว จริงไหมครับ
Sustainability เป็นกระแสที่พูดกันมาก ปรากฏในทุกสื่อ และมีการจัดการบรรยาย อบรม ในช่วงนี้มาก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมขอใช้ภาพของทาง McKinsey อธิบายเรื่องนี้ครับ
ภาพนี้แสดงการเปลี่ยนแปลงการการจัดการกลยุทธใน Supply chain ในอดีตเรามุ่งเน้นแต่เรื่อง Service, Quality และ Cost ซึ่งไม่เพียงพอแล้วครับ กลยุทธใหม่ในทุกองค์กรต้องเพิ่มเรื่อง Resilience, Agility, และ Sustainability ด้วย กล่าวคือไม่ใช่ว่าเราจะมีบริการดี คุณภาพดี บริหารต้นทุนได้ แล้วจะรอดในยุคนี้ เราต้องทำธุรกิจให้มีความคล่องตัว รวดเร็ว และยั่งยืนด้วย หากธุรกิจเราล้มและลุกช้าปรับตัวไม่ได้ ขยับตัวช้าไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงใน ecosystem ของธุรกิจที่เราอยู่ รวมถึงธุรกิจเราดำเนินไปในทิศทางที่มองเฉพาะ short term ไม่มีการมองแผนระยะยาว ก็จะมีความเสี่ยงซึ่งเราจะใช้คำว่า “ความเปราะบางในห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain Vulnerability) ครับ

หลังจากพิจารณาแล้วมีประเด็นเปราะบางในห่วงโซ่อุปทานเยอะมากเลยใช่ไหมครับ บางองค์กรทราบแล้วและมีการจัดการแล้วก็ถือว่าโชคดี แต่ผมเชื่อว่าหลายองค์กรในไทยเองยังไม่ได้มองเรื่องนี้ ถึงมองก็อาจจะมองไม่ครบด้าน หรือยังไม่มีระบบที่จะมาจัดการกับความเสี่ยง ความเปราะบางนี้ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความเสี่ยงต่อความยั่งยืนขององค์กรครับ คงได้คำตอบแล้วนะครับว่าเรื่องความยั่งยืนเป็น trend หรือต้องทำเพื่อการอยู่รอด
ประเด็นต่อไปคือแล้วเราจะต้องทำอย่างไร ผมขอเสนอระบบ Sustainable Supply Chain Management (SSCM) ที่จัดทำโดย Federal Ministry for the Environment, Nature Conservation Building and Nuclear Safety ของ Germany ผมศึกษาแล้วคิดว่าเป็น Guideline ที่ดีและสามารถนำมาใช้ได้
SSCM Model นี้มีอยู่ 7 ขั้นตอน เริ่มจาก 1. การกางภาพ Supply chain ขององค์กรให้ชัดเจน Upstream to downstream ให้ครบ 2. การระบุผลกระทบ ความเสี่ยง ต่อความยั่งยืนขององค์กรในแต่ละกิจกรรม 3. การวิเคราะห์หาจุดที่มีความเสี่ยงและระบุวิธีการจัดการ 4. กำหนดวิธีการจัดการอย่างเป็นระบบ 5. กำหนดสิ่งที่เกี่ยวกับการบริหาร Supply ของเราให้คู่ค้าเราทราบถึงเงื่อนไขที่ต้องช่วยกันจัดการ และนำพวกเรามาอยู่ใน SSCM กับเรา 6. ประเมินศักยภาพความยั่งยืนของคู่ค้าเราและพัฒนาพวกเขา 7. สรุปผลการจัดการ SSCM เพื่อใช้เป็นกระจกมองสะท้อนการนำเนินธุรกิจเรา และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ยกตัวอย่าง SSCM ในธุรกิจนม ที่เราคุ้นเคย ความเสี่ยงในการมีวัตถุดิบนมสดจากวัวที่มีคุณภาพ ไม่มีการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค มีขบวนการเลี้ยงวัวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงขบวนการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพจากฟาร์มมาที่โรงงานผลิต ขบวนการผลิตต้องใช้พลังงาน และมีระบบการจัดการของเสีย การใช้ไฟฟ้า ที่มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ packaging ที่เหมาะสมต่อการบรรจุ จัดส่ง และบริโภคของคนทั่วไป รวมถึงการย่อยสลายง่ายของ packaging หากเรามองแล้วจะเห็นว่าทุกจุดตลอด Supply Chain เราต้องประเมินประสิทธิภาพและความเสี่ยงตลอดเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีจุดไหนที่จะก่อให้เกิด Disrupt ได้ หรือหากมีความเสี่ยงเกิดขึ้นเราต้องสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
พอมาถึงจุดนี้ผู้อ่านทุกท่านคงเข้าใจดีแล้วว่าเรื่อง Sustainable Supply Chain Management (SSCM) ไม่ใช่เรื่องของกระแส แต่เป็นสิ่งที่เราต้องจัดการเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนครับ ขอบคุณและขอให้ทุกท่านโชคดี
ที่มา