“เทรนด์การบริโภคอย่างมีจิตสำนึก” กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการเพราะผู้บริโภคเริ่มหันมาคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้นแนวคิดเรื่อง “การบริโภคอย่างมีจิตสำนึกและรับผิดชอบ” หรือ “Conscious consumerism” กำลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มใส่ใจต่อผลกระทบที่เกิดจากการเลือกซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน และบางส่วนยังยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสังคม สะท้อนจากมูลค่าตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนของโลกที่ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 10% ในช่วงปี 2019 – 2023 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 19% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดจากทั่วโลก
โดยแนวคิด Conscious consumerism ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญค่อนข้างครอบคลุมในหลายมิติ อาทิ การหันมาให้ความสำคัญกับการกินอาหารที่ผลิตอย่างยั่งยืน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายหรือรีไซเคิลได้ รวมถึงการสัญจรไร้มลพิษ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงความตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการให้ความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนทางสังคมและทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ SCB EIC ได้เล็งเห็นถึงความท้าทายและโอกาสจากกระแส Conscious consumerism ที่กำลังจะก้าวเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคชาวไทย จึงได้จัดทำแบบสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคภายใต้หัวข้อ “การบริโภคอย่างยั่งยืน” โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 1,103 รายทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีความยั่งยืน โดยการวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) วิถีการสัญจรอย่างยั่งยืน (Sustainable mobility)
2) พฤติกรรมการบริโภคอาหารอย่างยั่งยืน (Sustainable eating) และ
3) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์สีเขียว (Green electronics) ซึ่งผลการศึกษาจะนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในมิติต่าง ๆ
คนไทยเต็มใจจ่ายเงินแพงขึ้นเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประเภท“รีฟิล” และ “รีไซเคิล” กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องผลสำรวจของ SCB EIC พบว่าคนไทยพร้อมจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึงราว 12% เพื่อสนับสนุนสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ซึ่งสัดส่วนนี้สูงกว่าผลสำรวจของ PwC ที่พบว่าผู้บริโภคทั่วโลกเต็มใจจ่ายเงินในการซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับความยั่งยืนแพงขึ้นราว 10% นอกจากนี้ SCB EIC ยังพบว่า การเลือกซื้อสินค้าและบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีฟิลหรือรีไซเคิลได้ ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเริ่มตระหนักถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความต้องการลดปริมาณขยะ สอดรับกับแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 โดยกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายการรีไซเคิลผลิตภัณฑ์พลาสติกให้ได้ 100% ภายในปี 2027 (จากปัจจุบันสัดส่วนการรีไซเคิลอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 25% ระหว่างปี 2022 – 2024)
การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนควรมุ่งไปที่การเพิ่มความหลากหลาย ทั้งในด้านฟังก์ชันการใช้งาน การกำหนดราคาให้เข้าถึงได้ และช่องทางจัดจำหน่ายที่สะดวกและครอบคลุมผู้บริโภคส่วนใหญ่มองว่าอุปสรรคสำคัญในการปฏิบัติตามวิถี Conscious consumerism คือ การที่สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์มีตัวเลือกค่อนข้างจำกัด ราคาสูง และหาซื้อได้ยาก ส่งผลให้ความตื่นตัวด้านความยั่งยืนยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก ดังนั้น หนึ่งในช่องทางการผลักดันให้แนวคิดเศรษฐกิจยั่งยืนเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาเพิ่มความหลากหลายแก่สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์แนวคิดนี้ ทั้งในด้านฟังก์ชันการใช้งาน การกำหนดราคาให้เข้าถึงได้สำหรับผู้บริโภคทุกกลุ่ม รวมถึงการขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้สะดวกและกระจายตัวครอบคลุม
The Awareness of Conscious consumerism : คนกลุ่มไหนที่บริโภคอย่างรู้คิด?“การบริโภคอย่างมีจิตสำนึกและรับผิดชอบ” หรือ “Conscious consumerism” เป็นหนึ่งในแนวคิดที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เพราะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรม โดยเฉพาะการที่ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับการดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด อาทิ การรับประทานอาหารอย่างพอดี/เหลือทิ้งให้น้อย การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองด้านความยั่งยืน รวมถึงการเลือกสัญจรอันก่อให้เกิดมลพิษในระดับต่ำ ซึ่งกระแสความตื่นตัวนี้กำลังแพร่หลายในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก สะท้อนจากผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey ของ PwC ที่ชี้ว่า เกือบครึ่งของกลุ่มตัวอย่างมักเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีการตัดสินใจเลือกอย่างรอบคอบก่อนการจับจ่ายอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพียงเท่านี้ ผู้บริโภคทั่วโลกยังเต็มใจจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึง 10% เพื่อสนับสนุนสินค้าและบริการที่ใส่ใจในด้านความยั่งยืน (รูปที่ 1) ด้วยเหตุนี้ มูลค่าตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนจึงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 10% นับตั้งแต่ปี 2019 – 2023 และมีส่วนแบ่งสูงถึง 19% ของยอดขายสินค้าทั้งหมดจากทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยพบว่า ผู้บริโภคค่อนข้างให้ความสนใจเกี่ยวกับแนวคิด Conscious consumerism มากขึ้น
โดยส่วนใหญ่กำลังอยู่ระหว่างศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้และปฏิบัติได้จริง ซึ่งความตื่นตัวเหล่านี้สะท้อนผ่านผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey ภายใต้หัวข้อ “การบริโภคอย่างยั่งยืน” ซึ่งจัดทำขึ้น ณ ไตรมาส 2/2024 และมีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งสิ้นจำนวน 1,103 ราย (รูปที่ 2) โดยผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
กลุ่มตัวอย่าง SCB EIC Consumer survey กระจายตัวทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย
1) วิถี Conscious consumerism กำลังมีอิทธิพลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น สะท้อนจากการที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เต็มใจจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึง 12% เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน โดยสัดส่วนดังกล่าวสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกและเอเชียซึ่งอยู่ที่ 11% และ 10% ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลสำรวจจาก SCB EIC พบว่า 30% ของกลุ่มตัวอย่างมีความเข้าใจและได้ปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าวไปแล้วอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกราว 50% กำลังอยู่ระหว่างศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในอนาคต ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่าง Gen X และBaby Boomer ส่วนใหญ่มีความเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามแนวคิดความยั่งยืนได้แล้ว ในขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่าง Gen X (อายุ 45-49 ปี) และ Gen Y (อายุ 27-44 ปี) ก็แสดงความสนใจในประเด็นความยั่งยืนเช่นกัน
แม้ว่าปัจจุบันคนวัยนี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาและหาข้อมูล แต่คาดว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ (รูปที่ 3) ทั้งนี้ความต่างของช่วงอายุที่ส่งผลต่อความตื่นตัวและความสามารถในการปฏิบัติตามเทรนด์ Conscious consumerism มิได้เกิดขึ้นแค่เพียงในประเทศไทย แต่มีความสอดคล้องกันทั่วโลก โดยผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey จัดทำโดย PwC ชี้ว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ใส่ใจและมีความพร้อมทั้งในด้านความรู้และกำลังจ่ายเพื่อดำเนินชีวิตตามวิถีการบริโภคอย่างยั่งยืนมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ เนื่องจากพวกเขาได้สัมผัสและตระหนักถึงผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง
2) รูปแบบพฤติกรรมการบริโภคอย่างยั่งยืนของคนไทยสอดรับกับกระแสโลก โดยส่วนใหญ่มักคิดก่อนซื้อและหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รีฟิล หรือรีไซเคิลอย่างสม่ำเสมอ โดย SCB EIC พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจราว 70%มักพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ อีกทั้ง ยังเริ่มคุ้นชินกับการใช้ถุงผ้าทดแทนถุงพลาสติก สะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและความต้องการลดปริมาณขยะซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยหนุนให้ผลิตภัณฑ์ประเภทรีฟิล และรีไซเคิลมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับภาคธุรกิจที่ต่างหันมาปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนและตอบรับกับกระแสนิยมของผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ เจ้าตลาดน้ำดื่มอย่างแบรนด์สิงห์ได้เปิดตัวขวดแบบใส ไร้ฉลาก รีไซเคิลได้ 100% และตั้งเป้ายอดขายในปี 2024 ให้เติบโตได้ถึง 7% เช่นเดียวกับแบรนด์ยูนิลีเวอร์ที่เดินหน้าติดตั้ง Refill station สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่ม ณ ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เพื่อส่งเสริมการลดขยะ อีกทั้ง ผู้บริโภคก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 30%
3) การเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในด้านฟังก์ชันการใช้งาน ระดับราคาที่เข้าถึงได้ และช่องทางจัดจำหน่ายที่สะดวก จะเป็นแรงส่งสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดการบริโภคอย่างอย่างมีจิตสำนึก เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่เห็นว่าอุปสรรคหลักในการปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าวเกิดจากการที่สินค้าและบริการที่ตอบโจทย์มีตัวเลือกค่อนข้างจำกัด อีกทั้ง ยังมีราคาสูงและหาซื้อได้ยาก (รูปที่ 4) ส่งผลให้ความตื่นตัวในด้านความยั่งยืนยังกระจุกอยู่ในกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก ทั้งนี้ตัวอย่างธุรกิจที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนให้สามารถจับต้องได้สำหรับผู้บริโภคทุกกลุ่ม เช่น IKEA ผลิตเฟอร์นิเจอร์จากพลาสติกและขวดน้ำรีไซเคิลและวางจำหน่ายในรูปลักษณ์และระดับราคาที่หลากหลาย อีกทั้ง ยังมีบริการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อให้การเข้าถึงสะดวกมากยิ่งขึ้น
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับแนวคิด Conscious consumerism และบางส่วนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสม่ำเสมอตัวเลือกในตลาดที่มีอย่างจำกัด ราคาสูง และหาซื้อได้ยาก ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดการบริโภคอย่างมีจิตสำนึกSCB EIC เล็งเห็นว่า กระแสการบริโภคอย่างมีจิตสำนึก (Conscious consumerism) กำลังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับภาครัฐและภาคธุรกิจ ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนแนวคิดนี้ประสบความสำเร็จ ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมีการปรับแนวคิดและมุมมองการเติบโต
โดยผสมผสานประเด็นเรื่องความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์องค์กร ควบคู่กับการผลักดันนโยบายเรื่องนี้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใช้สติก่อนใช้สตางค์ทั้งนี้สำหรับบทความชุดแรกภายใต้งานศึกษา The series of “Conscious consumerism” (EP.1) จะเน้นไปที่แนวโน้มและแรงขับเคลื่อนวิถีการสัญจรอย่างยั่งยืน (Sustainable mobility) ซึ่งจะสะท้อนถึงมุมมองและความต้องการของภาคประชาชนและผู้ใช้รถใช้ถนนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนและโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่แนวทางการลดปัญหาจราจรและอุบัติเหตุอีกทั้ง ยังมีบทบาทสำคัญในการลดฝุ่นควันและมลพิษ รวมถึงส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น