นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเข้าพบ เพื่อหารือและรับทราบนโยบายเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยเข้าพบ เพื่อหารือและรับทราบนโยบายเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ โดยมี หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มาจากข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีซึ่งได้มีบัญชาให้กระทรวงคมนาคมหารือเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย โดยมีประเด็นดังนี้

1) การพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยยืนยันว่า ทกท. ยังคงอยู่ที่เดิม และจะมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบันซึ่งจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและเหมาะสม นอกจากนี้ ยืนยันว่าในการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กลางการขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (Single Rail Transfer Operator : SRTO) จะมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งและแก้ไขปัญหาจราจร โดย กทท. อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาจราจร ณ ท่าเรือแหลมฉบังอย่างเร่งด่วนให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และในปีนี้มีแผนจะดำเนินการจัดทำพื้นที่จอดรอคอยสำหรับรถบรรทุก หรือ TRUCK PARKING บริเวณภายนอกเขตท่าเรือแหลมฉบัง รวมถึงพัฒนาตรวจสอบสถานะการจราจรของหน่วยงานต่าง ๆ โดยรองปลัดกระทรวงคมนาคมได้มอบให้ กทท. พิจารณาเชิญผู้แทนจากสหพันธ์ฯ เข้าร่วมในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาจราจร และให้จัดทำตารางกิจกรรมและแผนดำเนินงาน (Timeline) ทั้งหมดเพื่อให้เห็นการดำเนินงานในภาพรวม

2) กระทรวงคมนาคมจะเร่งปรับปรุงโครงการสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่องลาดกระบัง หรือ ICD ลาดกระบัง ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการอย่างเร่งด่วน โดยมอบให้กรมทางหลวงประสานกับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เกี่ยวกับการทำ Ramp เพื่อเชื่อมต่อมอเตอร์เวย์เข้าไป ซึ่งต้องสอดคล้องกับการดำเนินโครงการทางพิเศษยกระดับ ช่วงศรีนครินทร์ – ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ กทพ.

3) ปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการรถเครน ซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยขออนุญาตผ่านหน่วยงานราชการถูกต้อง แต่เมื่อนำมาปฏิบัติงานจริงก็เกิดปัญหาน้ำหนักเกินซึ่งมาจากตัวเครนที่เป็นเครื่องมือทุ่นแรง เป็นเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ เมื่อน้ำหนักเกินรถจะถูกจับและดำเนินคดีขั้นรุนแรงพร้อมทั้งริบรถด้วย ซึ่งผู้ประกอบการรถเครนทั้งรายใหญ่รายย่อยประมาณกว่า 10,000 คันทั่วประเทศ ไม่สามารถประกอบสัมมาชีพได้โดยสุจริต ซึ่งการที่น้ำหนักเกินไม่ได้เกิดจากการบรรทุกเกินแต่เป็นน้ำหนักตัวของเครนหรือเครื่องมือทุ่นแรง หรือเครื่องจักรกล โดยรองปลัดกระทรวงคมนาคมได้มอบให้กรมการขนส่งทางบกพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวก่อนเสนอกระทรวงคมนาคมเพื่อดำเนินการต่อไป

4) การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีแผนการลงทุนฯ ในทุกมิติ ทั้งด้านการขนส่งทางถนน ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางให้ประชาชน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต อาทิ โครงการทางยกระดับมอเตอร์เวย์ M5 ส่วนต่อขยายยกระดับอุตราภิมุข ช่วงรังสิต – บางปะอิน โครงการทางยกระดับ M9 ถนนวงแหวนรอบนอก กรุงเทพฯ ด้านตะวันตก ช่วงบางขุนเทียน – บางบัวทอง และช่วงช่วงบางบัวทอง – บางปะอิน โครงการมอเตอร์เวย์ M6 สายบางปะอิน – สระบุรี – นครราชสีมา โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 โครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ – หนองคาย โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Landbridge) เป็นต้น

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาต่าง ๆ ของผู้ประกอบการ และจะได้เร่งรัดแก้ไขปัญหาให้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป