ผู้เขียน ดร.บุญทรัพย์ พานิชการ
คณะโลจิสติกส์และดิจิทัลซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยนเรศวร
Belt and Road Initiative (BRI) ถือเป็น หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของจีนซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการติดต่อสื่อสารในภูมิภาค ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการสร้างอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจในเอเชียและขยายต่อไปยังภูมิภาคใกล้เคียงโดยใช้แนวคิดการสร้างเส้นทางสายไหมใหม่(Silk Road) ในการเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยโครงการเส้นทางบกมีชื่อเป็นทางการว่า “แถบเศรษฐกิจเส้นทางสายไหม (Silk Road Economic Belt: SREB)” ส่วนเส้นทางมหาสมุทรเรียกว่า “เส้นทางสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road)” โดยโครงการ BRI ประกอบด้วยระเบียงทางบก 6 เส้นทาง และเส้นทางทะเล 1 เส้นทาง ได้แก่ (1) เส้นทาง
ยูเรเซีย (Eurasia) จากตะวันตกจีนถึงตะวันตกรัสเซีย (2) เส้นทางจีน-มองโกเลีย-รัสเซียตะวันออก (3) เส้นทางตะวันตกจีน-เอเชียกลาง-ตุรกี (4) เส้นทางจีน-อินโดจีน-สิงคโปร์ (5) เส้นทาง จีน-ปากีสถาน (6) เส้นทางจีน-พม่า-บังกลาเทศ-อินเดีย และเส้นทางทะเล เริ่มจากเมืองชายฝั่งของจีนผ่านสิงคโปร์-มาเลเซีย-อินเดีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เมื่อพิจารณาทำเลที่ตั้งของประเทศไทยพบว่าแม้จะไม่ได้ลากผ่านประเทศไทยโดยตรง แต่ไทยยังเป็น 1 ใน 6 ระเบียงเศรษฐกิจย่อยภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ถูกขนาบด้วยเส้นทางระเบียงทางบก เส้นทาง จีน-อินโดจีน-สิงคโปร์ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากบทบาทและแ ผ นยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทย ที่มุ่งเป้าการเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน โครงการพัฒนาต่างๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์ BRI ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน
โครงการก่อสร้างรถไฟ ลาว-จีน ถือเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาภายใต้ยุทธศาสตร์ BRI ของจีนที่ใช้ระบบรางเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนและเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ โดยเชื่อมโยงการเดินทางจากนครคุนหมิง ผ่านเขตปกครองตนเองสิบสองบันนา มายังจุดผ่านแดนถาวรม่อหาน (จีน) และจุดผ่านแดนถาวรบ่อเต็น (สปป.ลาว) ที่จีนตั้งใจจะผลักดันให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสองประเทศ โดยเส้นทางรถไฟในฝั่งสปป.ลาว รถไฟ ขนส่งผู้โดยสารจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 160 กม.ต่อชั่วโมง ในขณะที่รถไฟขนส่งสินค้าจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 120 กม.ต่อชั่วโมง ผ่าน 4 แขวงและ 1 นครหลวง จากทางชายแดนภาคเหนือของประเทศลาว แขวงหลวงน้ำทา แขวงอุดมไซ แขวงหลวงพระบาง แขวงเวียงจันทน์ และนครหลวงเวียงจันทน์ ทั้งนี้เส้นทางรถไฟใน สปป. ลาว จะเชื่อมต่อไปยังประเทศไทย โดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางรถไฟที่เชื่อมตลอดภูมิภาคหรือที่เรียกว่าทางรถไฟ คุนหมิง-สิงคโปร์ ครอบคลุมระยะทางทั้งหมดประมาณ 3,000 กิโลเมตร
Source: Ministry of Public Works and Transport, Lao PDR
แต่ทั้งนี้นี้สิ่ง ที่ตามมาจากโครงการก่อสร้างรถไฟ ลาว-จีนที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบในมิติต่างๆ แก่พื้นที่ทั้งในเชิงบวก เช่นเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้แก่ชุมชนรอบข้างทั้งระหว่างการก่อสร้าง และหลังจากโครงการแล้วเสร็จ ยกระดับศักยภาพการเชื่อมโยงทั้งทางด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ในภูมิภาคให้สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงการเดินทาง การท่องเที่ยว กระตุ้นให้เกิดการเติบโตของการค้าการลงทุนในพื้นที่
ส่วนผลกระทบในเชิงลบ เช่น ชาวบ้านที่ถูกเวนคืนพื้นที่เพื่อใช้ในการก่อสร้าง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชุมชนทั้งในด้านวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรม ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อโครงการพัฒนานำมาซึ่งความเจริญ และแรงงานอพยพย้ายถิ่นเข้ามาในพื้นที่นำไปสู่ปัญหาทางสังคม หรือปัญหาอาชญากรรมในอนาคต ดังนั้นการเตรียมความพร้อมให้รอบด้านทั้งโอกาส ข้อจำกัด ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนารถไฟที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเกิดผลประโยชน์และพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความคิดเห็นจากหน่วยงานของ สปป. ลาว ต่อรถไฟ ลาว-จีน
ผลดี
- เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะการขนส่งระบบราง
- เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
- เกิดการพัฒนาทักษะแรงงานของ สปป.ลาว
ผลเสีย
- กระทบต่อความมั่นคง ของ สปป.ลาว เนื่องจากมีคนเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก
- หลังจากเปิดให้บริการรถไฟลาว-จีนจะมีแรงงานจีนเข้ามาทำงานใน สปป.ลาว เป็นจำนวนมาก
- เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
- พื้นที่ป่าไม้ที่อยู่ในเส้นทางการก่อสร้าง
- เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านอาชีพของคนในพื้นที่
ความคิดเห็นจากหน่วยงานของประเทศไทยต่อรถไฟ ลาว-จีน
ผลดี
- เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ เช่น เส้นทางถนนระบบการขนส่งทางราง ระบบสาธารณูปโภค
- เกิดการพัฒนากิจกรรมโลจิสติกส์ในพื้นที่เชื่อมโยง
- เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวการบริการ การค้าชายแดน การจ้างงาน การลงทุนในพื้นที่ เป็นต้น
ผลเสีย
- เกิดผลกระทบทางลบต่อการส่งออกสินค้าไทย เนื่องจากจะมีปริมาณสินค้าจากจีนเข้ามาในปริมาณมาก]
- เกิดโอกาสลักลอบนำสินค้าหนีภาษีเข้ามาเพิ่มขึ้น
- เกิดการลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย ส่งผลต่อปัญหา
- การค้ามนุษย์ ปัญหายาเสพติด ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
- ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่จะตามมาพร้อมกับการเดินทางของนักท่องเที่ยว
จากผลกระทบดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีการวางแผนเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จากงานวิจัยที่ได้ดำเนินการ ได้เสนอแผนยุทธศาสตร์เพื่อการรองรับโครงการรถไฟลาว-จีน (ช่วงบ่อเต็น-เวียงจันทน์) ดังนี้
- ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและรูปแบบกิจกรรมโลจิสติกส์
- ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาและเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าชายแดน สร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจรวมทั้งพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
- ยุทธศาสตร์ที่ 3 ส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์วัฒนธรรม ของพื้นที่รวมทั้งยกระดับธุรกิจบริการให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
- ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเสริมสร้างศักยภาพความมั่นคง เพื่อป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือจากภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ และ
- ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่และบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชน อย่างเหมาะสมและยั่งยืน
ผลกระทบในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นจาก โครงการก่อสร้างรถไฟลาว-จีน (ช่วงบ่อเต็น-เวียงจันทน์) ทั้งในด้านโลจิสติกส์เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว ความมั่นคง สังคม และสิ่งแวดล้อม ทุกภาคส่วนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องร่วมกันเสนอแนะเชิงนโยบาย ให้กับภาครัฐในการกำหนดบทบาทและแนวทางดำเนินการของแต่ละจังหวัดในพื้นที่เพื่อรองรับโครงการก่อสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต