ปอดโลกอ่อนแอ! ธรรมชาติดูดซับคาร์บอนน้อยลงในปีที่ผ่านมา สัญญาณนี้เตือนอะไรกับเรา?…

2023 ถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผลการวิจัยเบื้องต้นของทีมนักวิจัยนานาชาติแสดงให้เห็นว่า ปริมาณคาร์บอนที่ดินสามารถดูดซับได้นั้น ‘ลดลงชั่วคราว’ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ป่าไม้ พืช และดิน แทบจะไม่สามารถดูดซับคาร์บอนได้เลย

ไม่เพียงแต่บนบกเท่านั้นที่เผชิญกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ‘ท้องทะเล’ ก็กำลังประสบปัญหาเช่นกัน เห็นได้จากการที่ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์กำลังละลายตัวอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคาดการณ์ไว้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำในมหาสมุทรกัลฟ์สตรีม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสภาพอากาศของทวีปยุโรป

ยิ่งไปกว่านั้น การที่น้ำแข็งทะเลละลาย ยังส่งผลต่อไปยัง ‘การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของมหาสมุทร’ ทำให้ความสามารถในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศลดลง รวมถึงทำให้‘แพลงก์ตอนสัตว์’ จมอยู่ใต้น้ำนานขึ้น จุดนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการอพยพในแนวตั้งซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการกักเก็บคาร์บอนไว้ใต้ท้องทะเล

“เรากำลังเห็นสัญญาณว่าระบบต่างๆ ของโลกเริ่มอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบนบกและในทะเล ระบบนิเวศบนบกกำลังสูญเสียความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน ขณะที่มหาสมุทรก็เริ่มแสดงสัญญาณของความไม่เสถียร ธรรมชาติสามารถปรับตัวกับการกระทำของมนุษย์มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กำลังถึงจุดสิ้นสุดแล้ว” ‘โจฮาน ร็อกสตรอม’ ผู้อำนวยการสถาบันปอตซดัม เพื่อการวิจัยผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ กล่าวในการประชุมสัปดาห์ภูมิอากาศ นครนิวยอร์ก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ร็อกสตรอม กล่าวต่ออีกว่า การที่ดินดูดซับคาร์บอนได้น้อยลงในปี 2023 อาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น หากไม่มีภัยแล้งหรือไฟป่ามากระทบ ระบบนิเวศก็จะกลับมาดูดซับคาร์บอนได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบนิเวศที่นำไปสู่ผลกระทบต่อวิกฤตสภาพอากาศเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ การบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) จะไม่มีทางเป็นไปได้เลยหากขาดปัจจัยทางธรรมชาติ และในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่า ณ ปัจจุบันโลกของเรายังไม่มีเทคโนโลยีที่สามารถกำจัดคาร์บอนออกจากบรรยากาศได้ทีละมากๆ ดังนั้น ป่า ทุ่งหญ้า พรุ และมหาสมุทร จึงเป็นทางเลือกเดียวในการดูดซับมลพิษคาร์บอนที่มนุษย์ปล่อยออกมา ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 37.4 พันล้านตันในปี 2023

ตลอดระยะเวลา 12,000 ปีที่ผ่านมา โลกของเราได้สร้างสมดุลทางสภาพอากาศที่เปราะบางและมีความเสถียร ซึ่งสภาพอากาศที่เสถียรนี้เอง ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาการเกษตรกรรม และเลี้ยงดูประชากรโลกกว่า 8 พันล้านคนได้อย่างต่อเนื่อง ทว่าปัจจุบัน สมดุลอันเปราะบางนี้กำลังถูกคุกคามจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้การเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะส่งผลให้พืชพรรณเติบโตเร็วขึ้นและดูดซับคาร์บอนได้มากขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่ความจริงแล้วธรรมชาติกำลังแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ด้วยการเสียสละความหลากหลายทางชีวภาพ

“โลกของเราเปรียบเสมือนผู้ป่วยที่กำลังเผชิญกับภาวะเครียดเรื้อรัง และก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาสมดุลและซุกปัญหาต่างๆ เอาไว้ใต้พรม มนุษย์อย่างเราจึงเหมือนถูกกล่อมให้อยู่ในเขตปลอดภัย จนมองไม่เห็นและนิ่งเฉยต่อวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น แต่อย่าลืมว่าความสามารถในการรับมือของโลกกำลังจะถึงขีดจำกัด หากเราตระหนักไม่ได้สักที โลกของเราอาจเดินทางไปถึงจุดจบที่รุนแรงเกินกว่าจะคาดเดาได้” ร็อกสตรอม ย้ำ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงปี 1990 – 2019 ปริมาณคาร์บอนที่ป่าทั่วโลกดูดซับได้นั้นค่อนข้างคงที่ แต่เมื่อพิจารณาในแต่ละภูมิภาคจะพบความแตกต่างได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณป่าบอเรียล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ของรัสเซีย สแกนดิเนเวีย แคนาดา และอะแลสกา และเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนบนบกมากถึง 1 ใน 3 ของโลก ทว่าป่าบอเรียลแห่งนี้กำลังเผชิญกับปัญหาการลดลงของความสามารถในการดูดซับคาร์บอนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นำไปสู่การระบาดของแมลง การเกิดไฟป่า และการตัดไม้ทำลายป่า

ประกอบกับความเสื่อมโทรมของป่าอะเมซอนและสภาพแห้งแล้งในบางพื้นที่ของเขตร้อน ร่วมกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นในป่าเขตเหนือ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พื้นที่ธรรมชาติไม่สามารถดูดซับคาร์บอนเท่าเดิมได้ในปี 2023 ส่งผลให้ระดับคาร์บอนในบรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

‘ฟิลิปป์ ซีอาอิส’ นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการด้านภูมิอากาศ และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส เจ้าของงานวิจัยดังกล่าว เปิดเผยว่า ในปี 2023 ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ทั้งชีวมณฑลบนบกและมหาสมุทร ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนรายใหญ่ของโลก มีประสิทธิภาพในการดูดซับลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีกโลกเหนือ ซึ่งปกติจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกนั้น พบว่ามีแนวโน้มการดูดซับลดลงอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว และไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้

ไม่เพียงเท่านี้ มหาสมุทรซึ่งทำหน้าที่เป็นอ่างเก็บกักคาร์บอนที่สำคัญที่สุด ยังเผชิญกับปัญหาความร้อนสูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในมหาสมุทรและลดประสิทธิภาพในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปอีก

และแน่นอน การที่ทั้งป่าและมหาสมุทร ซึ่งเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนรายใหญ่ของโลกมีประสิทธิภาพลดลง จะยิ่งทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น เช่น อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้วบ่อยครั้งขึ้น

“ในแวดวงการเมืองและรัฐบาล ยังไม่เคยมีใครให้ความสำคัญกับ ‘แหล่งดูดซับคาร์บอนจากธรรมชาติ’ อย่างจริงจังนัก หลายคนอาจคิดว่าแหล่งดูดซับคาร์บอนจากธรรมชาติจะยังคงมีอยู่ตลอดไป ทั้งที่ในความเป็นจริงเราแทบไม่เข้าใจมันและไม่สามารถรับประกันได้ว่าแหล่งเหล่านี้จะมีอยู่ตลอดไป หากวันหนึ่งแหล่งดูดซับคาร์บอนจากธรรมชาติเหล่านี้หยุดทำงานเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เราจะทำอย่างไร?” ‘ศาสตราจารย์แอนดรูว์ วัตสัน’ หัวหน้ากลุ่มวิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศของมหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ สหราชอาณาจักร กล่าว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการประเมินแนวทางการเพิ่มปริมาณคาร์บอนที่ป่าธรรมชาติและระบบนิเวศสามารถดูดซับได้ แต่สำหรับนักวิจัยหลายคน ความท้าทายที่แท้จริงคือการปกป้องแหล่งดูดซับและกักเก็บคาร์บอนที่เรามีอยู่แล้ว โดยเน้นไปที่การยับยั้งการตัดไม้ทำลายป่า ลดการปล่อยคาร์บอน และรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

“เราไม่ควรพึ่งพาป่าธรรมชาติในการดูดซับคาร์บอนเพียงอย่างเดียว เพราะในระยะยาวมันอาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญคือการจัดการกับปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในทุกภาคส่วน” ‘ศาสตราจารย์ปิแอร์ ฟรายด์ลิงสไตน์’ จากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ผู้ดูแลการคำนวณงบประมาณคาร์บอนโลกประจำปี กล่าวทิ้งท้าย…